วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตำนานผีคอยาว(โรคุโรคุบิ) จากแดดปลาดิบ

ย้อนความไปในสมัยเอโดะ ในช่วงนั้น มีข่าวลือหนาหูถึงเรื่องของผีสาวคอยาวที่มักจะออกล่าเหยื่อที่เป็นชายหนุ่มและผีสาวจะทำการดูดพลังชีวิตของเขาจนหมดสิ้นไป ซึ่งที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็เกิดมีการมีชายหนุ่มมากมายที่ถูกพบเป็นศพ และพบว่านอนตายตัวแข็งทื่ออยู่ในบ้าน

ชาวบ้านต่างพากันตามหาตัวผีร้าย และกล่าวหาว่าสาวรับใช้ในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่งน่าจะเป็นผีคอยาวที่มาดูดวิญญาณเจ้าของบ้านจนสิ่นใจตาย เรื่องอื้อฉาวนี้ส่งผลให้กับคนในบ้านเกิดความอับอายเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม สาวใช้คนดังกล่าว ก็ยังปฎิเสธว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ผีสาวคอยาวอย่างที่ใครกล่าวหากัน




เศรษฐีคนดังกล่าวต้องการสืบหาความจริง จึงพยายามพิสูจน์ข้อสงสัยตามที่เพื่อนบ้านได้ให้คำแนะนำไว้ เมื่อตกดึก เขาก็แอบย่องไปที่ห้องนอนของสาวใช้ผู้นั้น เมื่อไปถึงก็พบว่าเธอนั้นกำลังนอนหลับอยู่อย่างปกติ ซึ่งหลังจากที่เขาจ้องมองดูเธออยู่สักพัก ก็ยังไม่พบสัญญาณของความผิดปกติ เศรษฐีจึงตัดสินใจถอดใจและหันกลับไปนอน แต่ทันใดนั้นเอง ก็เกิดกลุ่มควันประหลาดลอยล่องออกมาจากคอของสาวใช้ผู้นั้น ควันประหลาดเริ่มจับตัวกันหนาขึ้นๆเรื่อยๆ ในที่สุด ภาพที่เศรษฐีเห็นก็ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติ เพื่อเมื่อกลุ่มควันหายไป คอของสาวใช้คนนั้นก็กลับยืดยาวขึ้นมาอย่างแสนประหลาด

สาวใช้ไม่ทันรู้ตัวว่าเศรษฐีผู้นั้นกำลังแอบมองตนอยู่ จึงได้ยืดคอยาวลอยออกไปจนสุดเพดานห้อง จากนั้นก็สอดส่ายสายตาไปทางขวาและซ้ายแล้วหันซ้ายเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเธอ ก่อนที่จะใช้ลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหิวโหย และพุ่งคอยาวออกไปที่ประตูหน้าต่างเพื่อออกล่าเหยื่อ




เศรษฐีรู้สึกกลัวเป็นอย่างมากต่อภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า จึงรีบวิ่งหนีกลับไปที่ห้องนอนและคลุมโปลงอย่างรวดเร็ว พอเช้าวันรุ่งขึ้น ก็พบว่ามีหนุ่มชาวนาคนข้างบ้านสิ้นใจตายแบบไม่ทราสาเหตุ และมีชาวบ้านออกมามุงดูเหตุการณ์กันอย่างวุ่นวาย

เศรษฐีตัดสินใจเดินทางไปดูศพของชายผู้นั้นด้วย ซึ่งศพของชาวนาหนุ่มนอนตายตาเหลือกและมีผิวซีดเซียว เขารู้สึกตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่ตนเห็นเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก และด้วยความกลัวสาวใช้ เศรษฐีจึงตัดสินใจไล่สาวใช้คนนั้นออกจากคฤหาสถ์ในทันที

เมื่อสาวใช้คนนั้นรับรู้ว่าเศรษฐีไล่ตนออก ก็รู้สึกกังวลใจเกรงว่าเศรษฐีน่าจะไปล่วงรู้ความลับว่าเธอคือผีคอยาว แต่ก็ต้องยอมเก็บข้าวของออกจากบ้านเศรษฐีมาอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก ซึ่งนี่ก็คือตำนานที่กล่าวถึงเรื่อง ผีคอยาว หรือ โรคุโรคุบิ ซึ่งเป็นหนึ่งในปิศาจผีที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

ยังมีตำนานเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ส่วนใหญ่โรคุโรคุบิจะมีแต่เพศหญิง ซึ่งจะต้องเป็นหญิงที่มีหน้าตาสระสวยด้วย ทั้งนี้ก็เพราะพวกเธอจะต้องใช้ใบหน้างามๆในการตบตาผู้คนในเวลากลางวัน ส่วนในตอนกลางคืน ก็จะยืดคอยาวออกไปเที่ยวออกหาเหยื่อนั่นเอง ซึ่งเหยื่อของผีสาวก็จำเป็นต้องเป็นชายหนุ่ม เพื่อที่เธอจะได้สูบพลังวิญญาณของเพศตรงข้ามให้เกิดความกระชุ่มกระชวยมากขึ้น

แต่ในบางตำนานก็กล่าวเอาไว้ว่า จริงๆแล้วผีคอยาวไม่ใช่ภูติปิศาจ แต่เป็นการถอดวิญญาณที่เกิดความผิดพลาดต่างหาก ทำให้มีแต่เพียงวิญญาณในส่วนลำคอเท่านั้นที่สามารุยืดยาวออกไปหาเหยื่อได้ ส่วนในบ้านเรา ผีที่คล้ายกับโรคุโรคุบิมากที่สุด ก็คงจะเป็น ผีกระสือนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตำนานผีไม่มีหน้า"นบเปะระโบว"

ผีไม่มีหน้า (ญี่ปุ่น:のっぺらぼう Noppera Bou นปเปะระโบว ?) เป็นผีญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ไม่มีใบหน้า มีแต่หน้าเกลี้ยงๆ คล้ายไข่ ซึ่งแม้แต่ตา จมูก ปาก ไม่มีบนใบหน้าเลย ผีตนนี้มักเที่ยวหลอกหลอนคนผ่านทางในเวลากลางคืน มีตำนานที่เล่าขานในจังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น บางครั้งก็เรียกผีตนนี้ว่า "มุจินะ" (ญี่ปุ่น: ムジナ Mujina ?)



ตำนาน
ตามตำนาน เกิดขึ้นที่เนินทางแห่งหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ ในเวลากลางดึก มีชายคนหนึ่งได้เดินทางผ่านบริเวณดังกล่าวเพื่อที่จะเข้าไปในเมือง ได้พบหญิงสาวสวมชุดญี่ปุ่นคนหนึ่งมีท่าทางร้องไห้ ราวกับจะกระโดดลงแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย ชายคนดังกล่าวจึงพยายามเข้าไปปลอบใจ และเข้ามากอด และตกใจเมื่อพบว่าใบหน้าของเธอไม่มีหน้า หน้าเกลี้ยงเหมือนไข่ปอก จึงวิ่งหนีไป ราวกับว่าเธอจะวิ่งตามมาด้วย

จนกระทั่งเขาได้มายังร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านได้ถามว่าไปเจออะไรมา เขาตอบว่าเจอผีไม่มีหน้า เจ้าของร้านจึงถามว่า "ลักษณะเป็นแบบนี้ใช่ไหม?" และเจ้าของร้านบะหมี่ลูบหน้าจนหน้าหายกลายเป็นผีไม่มีหน้าอีกตน ชายคนนั้นจึงตกใจและวิ่งหนีออกไปจากร้าน ต่อมาหลังจากนั้น ชายผู้นั้นก็ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลวิกลจริต

เรื่องราวที่เกี่ยวกับผีไม่มีหน้านั้น มักจะเป็นผีที่มาหลอกคนที่เดินผ่านทางในเวลากลางคืน และเป็นตำนานในสมัยเอโดะ

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตำนานผีนับจาน"โอะกิคุ"

ผีนับจาน หรือ ซะระยะชิกิ (ญี่ปุ่น: 皿屋敷 Sarayashiki ?) หรือ โอคิคุ เป็นเรื่องเล่าของวิญญาณที่จะออกมาจากบ่อเก็บน้ำ และเริ่มนับจานตั้งแต่ 1 ใบจนถึง 9 ใบ แล้วจะร้องไห้อย่างหัวใจสลาล

ในสมัยอดีต มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อ "อะโอะยะมะ ชุเซ็ง" อาศัยอยู่ที่บ้านบันโซ ในเอะโดะ อยู่มาวันหนึ่ง สาวใช้ชื่อ "โอะกิคุ" ได้เผลอทำจานของเจ้านายแตกใบหนึ่ง ซึ่งจานใบนั้นเป็นหนึ่งในชุดจานอันล้ำค่าทั้งสิบใบซึ่งนำเข้ามาจากเมืองนานกิงของจีน มีราคาสูง อะโอะยะมะ ชุเซ็ง กับภรรยาซึ่งทั้งคู่มีนิสัยเหี้ยมโหด พวกเขาได้ร่วมกันโยนโอคิกุที่ร้องขออภัยโทษลงในบ่อน้ำ แล้วปล่อยให้ตาย หลังจากนั้นก็ได้แจ้งต่อราชการว่าเธอตายเพราะป่วย





นับจากนั้นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้น ในเดือนพฤษภาคมของปีนั้น ภรรยาของชุเซ็น ได้คลอดลูกชาย แต่เด็กกลับไม่มีนิ้วกลางที่มือขวา ซึ่งขาดไปหนึ่งนิ้วในบรรดาสิบนิ้ว นอกจากนั้นก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ทั้งเรื่องที่บ้านของขุนนางชุเซ็นถูกปกคลุมไปด้วยอากาศเย็นยะเยือก และตอนกลางคืนก็จะมีไฟประหลาดออกมาจากบ่อน้ำที่โอคิกุ ตาย แล้วมีเสียงอันน่าขนลุกของผู้หญิงว่า "หนึ่งใบ สองใบ สามใบ สี่ใบ ห้าใบ หกใบ เจ็ดใบ แปดใบ เก้าใบ...สะอึกสะอื้น..." คนรับใช้คนอื่นก็พากันลาออกไปกันหมด ดังนั้นเวลาชุเซ็นจะจ้างคนรับใช้คนใหม่ก็ไม่มีคนมาสมัคร เพราะทุกคนรู้ข่าวลือเรื่องนี้กันหมด



ไม่นานนักทางราชการก็รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้กำหนดบทลงโทษชุเซ็น นี่คือเรื่องราวที่อยู่ในหนังสือเรื่อง "บันโชซะระยะชิกิ" (บ้านจานของบันโช) ซึ่งมีไฟประหลาดที่นับจำนวนจาน ซึ่งออกมาจากน้ำนั้น เรียกว่า "ซาราคาโซะเอะ" (ปีศาจนับจาน)



วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตำนานเขาสามมุข

ตำนานเขาสามมุข กล่าวถึงกรุงศรีอยุธยาในสมัยตอนปลาย ณ หมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี มีหญิงสาวสวยนางหนึ่งมีชื่อว่า สาวมุข หรือ สาวมุก หญิงผู้นี้เป็นชาวเมืองบางปลาสร้อย และกำพร้าบิดามารดามาตั้งแต่เกิด หญิงสาวอาศัยอยู่กับยายที่กระท่อมแห่งหนึ่งบริเวณเชิงเขาสามมุข ต่อมาสาวมุขได้พบรักกับชายหนุ่มที่มีชื่อว่า แสน ผู้เป็นบุตรกำนันบ่าย เศรษฐีแห่งบ้านหิน (อ่างศิลา) ที่อยู่ห่างจากเขาสามมุขไปประมาณ ๕ กิโลเมตร ความรักของทั้งคู่เป็นความรักที่บริสุทธ์ และทั้งสองก็ต่างสัญญากันว่าจะรักกันไปชั่วนิจนิรันดร์

ทั้งคู่ใช้สถานที่บริเวณเชิงผาเป็นที่นัดพบกันเสมอ แต่เมื่อกำนันบ่ายทราบเรื่องราวความรักของทั้งคู่ ก็เกิดความรังเกียจในความยากจนของสาวมุข และบังคับให้แสนแต่งงานกับหญิงสาวที่ตนเลือกไว้แทน

ในวันแต่งงาน สาวมุขได้เดินทางมาอวยพรและรดน้ำสังข์ให้แก่คู่บ่าวสาว พร้อมทั้งได้คืนแหวนที่แสนเคยมอบไว้ให้แก่ตน กว่าที่แสนจะรู้ว่าเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง สาวมุขก็วิ่งหนีหายไปบนเชิงเขาริมหน้าผาแล้ว สาวมุขตัดสินใจจบชีวิตโดยการกระโดดหน้าผาเพื่อบูชาความรักอันแสนบริสุทธ์ครั้งนี้ เมื่อแสนรู้เรื่องก็เกิดความเสียใจอย่างสุดซึ้งจึงตัดสินใจกระโดดหน้าผาตายตามสาวมุขไป

จากเหตุการณ์ครั้งนี้เองทำให้ภูเขาแห่งนี้กลายเป็นอนุสรณ์แห่งความรักของสาวมุขและหนุ่มแสน และมีชื่อเรียกว่า เขาสามมุข ส่วนชายหาดบริเวณใกล้เคียงก็มีชื่อว่า บางแสน ตามที่ปรากฎเป็นตำนานจวบจนถึงทุกปัจจุบัน

เกร็ด

เขาสามมุข หรือเขาเจ้าแม่สามมุข ตั้งอยู่ระหว่างตำบลอ่างศิลา และชายหาด บางแสน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี บริเวณเชิงหน้าผาแห่งนี้มีศาลชื่อว่า “ศาลเจ้าแม่สามมุข” อยู่ ๒ หลัง หลังหนึ่งเป็นศาลไทย ส่วนอีกหลังหนึ่งเป็นศาลจีน ศาลทั้งสองล้วนเป็นที่เคารพสักการะของชาวประมงท้องถิ่นในจังหวัดชลบุรี และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาสักการะบูชา เพื่อระลึกถึงอนุสรณ์แห่งความรักของสาวมุขและหนุ่มแสน

ปัจจุบัน เขาสามมุขเป็นบริเวณที่มีลิงป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาบนเขาสามมุข นำอาหารอย่างกล้วย อ้อย และถั่ว ฯลฯ ไปให้แก่ฝูงลิงเหล่านี้ เขาสามมุขจึงถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรีที่น่าสนใจ และเป็นตำนานที่เล่าขานกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ตำนานผีช่องแอร์

.เรื่องมันเริ่มต้น เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ณ  โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหาดใหญ่ โดยโรงแรมนี้จะมีสถานบันเทิงอยู่ข้างล่าง  แล้วกลุ่มวัยรุ่น 6 คนที่พบเจอเหตุการณ์นี้  ก็เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่แวะเวียนมาแสดงที่โรงแรมแห่งนี้...ปกติเมื่อแสดงดนต รี  เสร็จ ทางโรงแรมก็จะจัดห้องให้ทั้ง 6 คนนี้ได้พักผ่อนในคืนนั้น  หากคิวของโรงแรมนั้นเป็นแห่งสุดท้าย  สำหรับการเล่นดนตรีในแต่ล่ะคืนนั้น....เหตุการณ์ก็ดำเนินไปอย่างปกติ  ไม่มีอะไร...  ....จนกระทั่งมาถึงคืนหนึ่ง .....เมื่อวงดนตรีกลุ่มนี้เล่นเสร็จแล้ว  ทางโรงแรมได้มาแจ้งกับพวกเค้าว่า  ห้องพักเต็ม...แต่พอคุยกันไปมา....ทางโรงแรมเห็นว่า  ไม่น่ามีอะไรและเด็กเหล่านี้ก็เหมือนคุ้นเคยขาประจำ  เลยบอกมาว่ามีห้องๆหนึ่งว่าง แล้วก็ให้พนักงานนำทางไปพร้อม กุญแจห้อง  ไขสู่ประตูห้องที่มีหมายเลขห้อง ๔๐๙ เมื่อทั้ง 6 คนได้เข้ามาแล้ว  ก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ก็มานั่งล้อมวงเล่นไพ่กัน.....ก็เล่นไปซักพัก  1 ใน 6 คนนั้นก็ มองอะไรไปเรื่อย จนไปสะดุดเข้ากับ ผ้าริ้วขาว  พลิ้วสะบัดไปมาตาม  แรงลมของช่องแอร์ที่กำลังเป่านั้น....ด้วยความรำคาญหรืออะไรมิทราบได้  เจ้าคนนั้นจึงลุกออกมา  แล้วลากเก้าอี้เพื่อที่จะได้ยื่นมือไปดึงเอาผ้าริ้วสีขาว  นั้นออก....ในขณะที่เค้าต้องดึงตะแกรงที่ปิดช่องแอร์ออกก่อน  ซึ่งในตอนนั้นสายตาของเค้าก็ยังมองมายังกลุ่มเพื่อนที่นั่งเล่นไพ่อยู่  พอเค้าวางตะแกรงลงและกำลังจะเงยหน้าไปหยิบผ้าริ้วสีขาวผืนนั้นออก....สายตาข อง  เค้าก็ไปเจอเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง....เค้านิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง...แล้วก็ค่อยๆ ลง  มาจากเก้าอี้ที่เค้ายืนอยู่ ในลักษณะถอยหลัง ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกไป  แล้วก็ค่อยหันหลังเดินออกจากห้องไป....เพื่อนๆในกลุ่มที่เล่นไพ่กันอยู่ก็งง  บางคนในนั้นก็ตะโกน "เฮ้ยยยยย!!!!!"....  ....แต่เพื่อนๆ ก็นั่งเล่นไพ่กันต่อ เพราะไม่ทราบว่าเกิดอะไร  และก็ขี้เกียจเดา ...แต่ด้วยอะไรไม่ทราบได้ 1 ในกลุ่มที่เหลือ ก็พูดขึ้นมาว่า  " เออ เดี๋ยวข้าลุกไปปิดตะแกรงให้ "...แล้วก็บ่น ๆ  ว่าเจ้าเพื่อนคนที่ออกไปคนแรกทำไมไม่ปิด น่ะ  ...เมื่อเขาลุกออกไป ก็ ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ที่ยังตั้งอยู่ตรงนั้น  เมื่อเขาค่อยเงยหน้าขึ้นดู เพื่อให้รู้ว่าร่องที่จะวางตะแกรงนี่ต้องวางมุมไหน  ยังไง...และในขณะที่เขาค่อยเงยหน้าและยืดตัวขึ้นไปดูนั้น ...  ดวงตาเขาก็ไปเจอกับอะไรบางอย่าง....แล้วเขาก็นิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักนึง... ก็  ค่อยลงจากเก้าอี้มา และค่อยๆเดินออกไปจากห้อง....  ....เพื่อน ๆ ก็งง กันอีก เออเค้าเป็นอะไรของเค้าน่ะ ...ทีนี้ในกลุ่มก็เหลือ  4 คน นั่งเล่นไพ่กันต่อไป......พอหมดตานึง คนที่ 3  ก็ลุกออกไปจะไปปิดตะแกรงแอร์ให้เรียบร้อย ...จะได้มาเล่นต่ออย่างสบายใจ  ...และก็เหมือนกับปฏิกิริยาของ 2 คนแรก คนที่ 3 และคนที่ 4 ก็เป็นเหมือนกัน  และค่อยๆเดินออกจากห้องไปเหมือนกัน........เอาหล่ะสิ....ทีนี้ก็เหลือในห้อง แค  ่ 2 คน ก็เล่นไม่สนุกแล้ว (และ 1 ใน 2  คนนั้นคือคนที่รอดชีวิตมาเล่าเรื่องราวให้พวกเราได้ฟังกัน) ทั้ง 2  ก็เลยชวนกันออกไปล๊อบบี้โรงแรม ดีกว่า เผื่อเจอเพื่อน ๆ  ที่ลงไปก่อนหน้านี้แล้ว...แต่  ...แต่ก่อนออกไป ทั้ง 2 ต้องการ  ปิดตะแกรงของช่องแอร์ให้เรียบร้อยก่อน...แล้วก็ให้คนนึงจับเก้าอี้  และคนที่มาเล่าในรายการเป็นคนขึ้นไปบนเก้าอี้  แล้วพอกำลังจะเอาตะแกรงเข้าไปปิดช่องแอร์เท่านั้น....ทั้งสองก็เห็นภาพเหมือ นก  ันคือ....เป็นเหมือนภาพของศรีษะของผู้หญิงคนหนึ่งชะโงก  หน้าลงมาจากช่องแอร์และมองด้วยสายตาที่เคียดแค้น จ้องมองมาที่ทั้ง 2  คนนั้น.... เค้ายังพอมองเห็นว่า เส้นผมยาวๆของผู้หญิงคนนั้น  ถูกผูกติดไว้กับเหล็กที่อยู่ข้างในช่องแอร์นั้น....เมื่อเห็นภาพนั้น ทั้ง  คนจึงค่อยเดินถอยหลังออกไป แล้ว 1  ในคนนั้นก็พยายามจับแขนอีกคนหนึ่งไว้แล้วบอกว่า "อย่าวิ่ง!!!! .."  เพราะถ้าวิ่งนี่ เตลิดแน่นอน เพราะตอนนั้นจิตกระเจิงไปหมดแล้ว..จึงค่อย  เดินลงมาจนมาสมทบกระกลุ่มเพื่อนข้างล่าง....  ....พอเจอกัน ต่างมองหน้ากัน..และ 1 ในนั้นก็ถาม "พวกแกทำไมไม่บอก  พวกเราน่ะว่าเจออะไรกัน..." ... ไม่มีเสียงตอบจากคนใดในหลุ่มนั้น  > >  ...ทั้งหมดจึง ไปถามหาจากคนของโรงแรมว่า ที่ห้อง 409  นั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ทำไมพวกเค้าเจอเหตุการณ์อย่างที่เล่ามานี้  เหมือนกันหมดทุกคน  และก็มีคนนึงในโรงแรมนั้นเล่าให้ฟังว่า......เมื่อหลายปีก่อนมีผู้หญิงคนหนึ ่ง  ซึ่งเป็นผู้หญิง off และถูกพาไปห้องโดยแขก  เหมือนจะเป็นชาวมาเลย์....และด้วยมีเรื่องอะไรกันไม่ทราบได้....ในตอนเช้า  พบเธอเป็นศพ สภาพที่หัวถูกตัดหายไป  โดยที่ตัวถูกหมกไว้ใต้เตียง....ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามหาส่วนที่เป็นหัวอยู่ นา  นก็ไม่เจอ......ก็เลยเลิกหา แล้วก็กลับไป...จนหลายวันต่อมา  แอร์ห้องนั้นเริ่มมีกลิ่น เพราะแขกที่มาพักห้องข้างๆ ได้กลิ่น  จึงแจ้งพนักงานโรงแรม...แล้วก็หาจนได้ที่มาของกลิ่น นั่นก็คือ  ศรีษะของผู้หญิงคนนั้นถูกตัดออกมา แล้วก็นำชุดขาวที่เธอใส่มา  ห่อหรือพันส่วนที่เป็นคอที่ถูกตัดไว้ แล้วใช้เส้นผมของเธอเอง  ผู้กไว้กับแกนเหล็กข้างในช่องแอร์อีกที........และห้องนั้นก็ถูกทางโรงแรมปิ ดต  ายไป!  ......เพราะฉนั้นสิ่งที่ 6 คนนั้นเจอ เรียกได้ว่าเป็น ภาพ หรือ ภาพหลอน  หรือผีหลอกนั่นเอง......  > >  ...หลังจากนนั้นทั้ง 6 คนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก  และก็ดำเนินชีวิตปกติ......แต่หลังจาก 3 วันถัดจากที่พวกเค้าเจอเหตุการณ์  เพื่อนของเค้า คือ คนแรกที่เป็นคนต้นคิดไปเปิดตะแกรงเพื่อเอาผ้าริ้วสีขาวๆออก  ..ได้เสียชีวิตลง โดยเหมือนคุยกับแฟนตกลงอะไรกันอยู่  ส่วนเพื่อนก็นั่งดูอยู่ห่างๆ แต่ซักพัก  เพื่อนคนนั้นก็ยิงหัวตัวเองตาย........ต่อหน้าต่อตาเพื่อน  และแฟน....โดยที่เพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนไม่มีปัญหาอะไรเลย สนุกสนานร่าเริง  ...นี่คือศพแรก และเป็นคนแรกที่เริ่มเปิดตะแกรงช่องแอร์นั้นออกมา......  ....หลังจากนั้นในวันถัดมาเพื่อนอีกคน คือคนที่ 2  ที่จะลุกไปปิดตะแกรงก็ตายโดยอุบัติเหตุ....จากการขับรถ.....และในขณะที่กำลั งจ  ัดงานศพเพื่อนๆ อยู่นั้น ปารกฏว่ามีคนนึงหายไป คนที่มาเล่าในรายการ  เลยไปตามหาถึงที่ห้อง..ปรากฏว่าเขาผูกคอตายอยู่กับหน้าต่าง  โดยที่ตัวเค้าก็ถึงพื้นหน้า มือก็ถึงพื้น แต่สภาพใบหน้าคือ  ดวงตาเบิกโพลง....เหมือนตกใจสุดขีด...........คล้อยหลังอีกไม่นาน ก็คนที่  โดยอุบัติเหตุทางรถเช่นเดียวกัน  > >  ....ภายในเวลาไม่ถึง 7 วันเพื่อน ๆ ในกลุ่มเขาตายอย่างกระทันหันถึง 4  คน......จนทำให้ 1 ใน 2 คนที่เหลือฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า  มันจะเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่พวกเค้าเจอที่โรงแรมนั้นหรือ เปล่า....  ...ทั้ง 2 คนที่เหลือเลยไปหาพระที่วัด....แล้วพระก็ทักว่า เพิ่งเสียของรัก  หรือคนที่เรารักไปหลายคนใช่ไหม.........แล้วก็บอกไปอีกว่า เป็นผู้หญิง...ทั้ง  2 คนก็งง แต่พระท่านหมายถึงผู้หญิง... หน่ะ มากับโยมด้วย  ตอนนี้ก็มา...โดยนั่งอยู่ข้างหลัง.....ทั้ง 2  หันไปแต่ก็ไม่เจอใคร.....พระท่านก็บอกว่า  เธออาฆาต......แล้วทั้งทางครอบครัวของ ทั้ง 2 คนเลย  ขอให้พระท่านจัดทำพิธีบังสกุลเป็น ให้ทั้งคู่  ........หวังว่าจะได้รอดพ้นหรือผ่อนหนักเป็นเบา  ......แต่หลังจากนั้นทั้งคู่ ก็มานั่งคุยกันว่า...เออ  ใครจะไปก่อนน่ะ....อีกคนเลยบอกว่าจะไปต่างประเทศ....แล้วหลังจากวันนั้นทั้ง คู  ่ก็แยกกันไป.....จนคนที่มาเล่าในรายการเมื่อคืน อยู่ ๆ  ก็โดนใครที่ไหนไม่รู้วิ่งเอามีดมาแทง ๆ ๆๆ  โดยที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อนเลย.....จนต้องเข้าโรงบาลไป...  (พอมาถึงช่วงนี้...เขาก็เปิดให้ดูรอยแผลเป็นจากการโดนแทง)  ....เขาระบุวันเวลาอย่างแม่นยำ เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน  ว่าเขาโดนแทงวันไหนเวลาอะไร เพราะอีกวันถัดมาเค้าให้เพื่อนโทรทางไกลไปหา  เพื่อนคนที่อยู่เมืองนอก...เพื่อนคนนั้นก็บอกว่า โดนเหมือนกัน นี่กำลังนอนที่  รพ.อยู่ เพราะรถไปพลิกคว่ำลงข้างทาง....โดยเขาเล่าว่า มีผู้หญิงผมยาวๆ  มาตัดหน้าแล้วเค้าหักหลบ.....  ...และเหตุการณ์ก็ผ่านไป..........ทั้งคู่ยังอยู่ดี มาจนถึงทุกวันนี้ และ 1  ใน 2 คนนั้นก็ได้มีโอกาสมาเล่าผ่านทางรายการวิทยุ ของคุณ ป๋องก่อน รายการ  Shockfm ...แล้วเรื่องนี้ก็เป็นที่ฮือฮากันมาก  และถูกโหวตให้เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในรอบหลายๆ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตำนาน เกาะหลอนสยองโลก Corregidor Island






Corregidor เป็นเกาะเล็กๆที่ตั่งอยู่บริเวณปากอ่าวมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จากประวัติศาสตร์มีการบันทึกไว้ว่า เกาะแห่งนี้เริ่มมีความสำคัญเมื่อสเปนเข้ามายึดครองฟิลิปปินส์ในปี 1570 และถูกใช้เป็นฐานยุทธศาสตร์ทางทะเลมาอย่างยาวนานจนถึงปี 1898 ต่อมาเกาะนี้ได้ตกเป็นสมบัติของประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่รบชนะสเปนในปีเดียวกัน โดยระหว่างการปกครองของสหรัฐ เกาะแห่งนี้ได้ถูกสร้างเป็นป้อมปราการ สำหรับป้องกันการโจมตีทางทะเลจากกองทัพญี่ปุ่น
ในปี 1942 ไม่กี่เดือนหลังจากสหรัฐถูกโจมตีที่เพร์ลฮาเบอร์ กองทัพญี่ปุ๋นได้เข้าโจมตีเกราะแห่งนี้ โดยมีผู้เสียชีวิตจากการเข้าโจมตีครั้งนั้นราวๆพันกว่าคน และหลังจากญี่ปุ่นได้ยึดเกราะแห่งนี้แล้ว ทหารสหรัฐและทหารฟิลิปปินส์ได้ถูกจับเป็นเชลยกว่า 3000 นาย และถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆนาๆ ซึ้งก็ทำให้คนที่ทนไม่ไหวได้เสียชีวิตไปอิกหลายร้อยคน 

ต่อมาในปี 1945 กองทัพสหรัฐ ก็ยกทัพมาโจมตีเกาะแห่งนี้ในยุทะการ "ปลดปล่อยฟิลิปปินส์"และได้ต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นอย่างดุเดือดอยู่หลายวัน ในที่สุดก็สามารถยึดเกาะเเห่งนี้ได้สำเร็จ ในการต่อสู้ครั้งนี้มีทหารสหรัฐเเละทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตไปราวๆ 8000 กว่านาย และยังไม่รวมพวกที่ฆ่าตัวตายหลังจากนั้นอิกกว่า 3000 กว่าคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารญี่ปุ่น

จากประวัติอันโหดร้ายที่เต็มไปด้วยกลิ้นคาวเลือดของเกาะนี้ ทำให้ชาวฟิลิปปินส์เชื่อกันว่าเกาะนี้เต็มไปด้วยวิญญาณทหารที่มีความเจ็บปวด ทรมาน เเละความแค้นมากมายหลายพันดวงจึงทำให้เกาะแห่งนี้เป็นที่นิยมสำหรับพวกที่ชอบมาล่าท่าผี และพวกวัยรุ่นที่อยากจะลองของ

หนึ่งในสถานที่ที่เชื่อกันว่าหลอนที่สุดบนเกาะแห่งนี้คงหนีไม่พ้นอุโมง malinta ที่เคยเป็นสุสานของทหารญี่ปุ่นกว่า 3000 นาย โดยพวกเขาขังตัวเองไว้ในอุโมงแห่งนี้และฆ่าตัวตายกันทั่งหมด อุโมงนี้เป็นที่ที่มักจะมีการเข้าไปพิสูตรน์ผีและลองของกันอยู่บ่อยๆส่วนมากคนที่เข้าไปจะเจอดีกันทุกคน โดยกิจกรรมที่นิยมกันมากคือเข้าไปในอุโองพร้อมไฟฉายและกล้องถ่ายรูป เพื่อใช้กล้องนั่นถ่ายรูปในอุโมงที่อาจจะติดวิญญาณมาในรูป แล้วก็ได้เรื่องจริงๆ เมื่อวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งถ่ายภาพติดใบหน้าปริศนาในอุโมงแห่งนี้เข้าจนได้ และได้รับการพิสูตรแล้วว่าไม่ได้เกิดจากการตัดต่อหรือเทคนิคพิเศษใดๆ

หลังจากที่ภาพถ่ายติดวิญญาณเริ่มโด่งดัง พื้นที่ส่วนอื่นๆของเกาะก็ได้รับความนิยมในเรื่องการลองของตามไปด้วย เพราะว่าสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นอาคารเก่าแก่ปรักหักพังชวนหลอนแทบทั้งนั้น จนมีการตั้งการทัวผีเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว และแน่นอนว่าจะต้องมีคนพบเห็นอะไรแปลกๆหลอนๆกันอยู่เป็นปะจำ

ปัจจุบันเกาะแห่งนี้ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของฟิลิปปินส์เลยก็ว่าได้ ดังนั้นใคนที่อยากสัมผัสบรรยากาศหลอนๆบนเกาะแห่งนี้ก็สามารถไปใช้บริการกันได้ แล้วอย่าลืมถ่่ายภาพมาฝากด้วยนะครับ เผื่อจะเจออะไรดีๆติดมากับรูป